หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับต้นๆเมื่อทราบว่าเป็นมะเร็ง


สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับต้นๆเมื่อทราบว่าเป็นมะเร็ง



          เป็นธรรมดาที่ผู้ป่วยหรือญาติจะรู้สึกตกใจกับครั้งแรกที่หมอบอกคุณว่าเป็น มะเร็ง หลายคนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่พลาดโอกาสที่ดีที่สุดของเขาไปเพราะไม่รู้จะเริ่มอย่างไร จนบางครั้งก็หลงทางไปเสียจนไม่สามารถย้อนกลับมาได้ คำแนะนำสั้นๆต่อไปนี้คือสิ่งแรกๆที่ควรพิจารณาทำ



1 เรียนรู้เกี่ยวกับมะเร็งของคุณ


        สิ่งที่พบประจำในการตรวจรักษาผู้ป่วยคือเมื่อได้รับทราบว่าเป็นมะเร็งก็จะไม่รู้จะถามหมอต่อไปอย่างไร หลายคนแม้จะมาเจอกันเป็นครั้งที่สองหรือเป็นหมอคนที่สองก็ยังไม่รู้จักเกี่ยวกับมะเร็งของตนเอง ดังนั้น เมื่อพยายามไปหาข้อมูลเพิ่มเองก็จะสับสน ไม่แม่นยำ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่อย่างน้อยจะต้องมีหนึ่งคนที่รู้ข้อมูลเหล่านี้โดยละเอียด ซึ่งอาจจะไม่ใช่ผู้ป่วยก็ได้ อย่างไรก็ดีผู้ป่วยควรจะได้ทราบการวินิจฉัยในระดับที่ผู้ป่วยอยากทราบ การที่ผู้ป่วยไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังเจ็บป่วยเป็นอะไรนั้นน่ากลัวที่สุด

เตรียมพร้อมที่จะถาม
- เป็นธรรมดาเช่นกันที่คำถามมากมายนอกห้องตรวจจะถูกลืมหมดสิ้นเมื่อนั่งอยู่ตรงหน้าหมอในห้องตรวจ การจดเตรียมคำถามไว้จะช่วยคุณได้เป็นอย่างดี
- ด้วยข้อจำกัดของเวลาโดยเฉพาะในรพ.ของรัฐ คุณอาจไม่มีเวลามากนักที่จะถามข้อมูลจากหมอ อาจร้องขอนัดหมายเวลาที่เหมาะสมกับหมอของท่านเพื่อการสอบถามที่ละเอียดและไม่เร่งรีบจนเกินไป เช่น หลังตรวจผู้ป่วยทั้งหมดหมดแล้ว หรือนอกเวลาตรวจ การถามในช่วงเวลาจำกัดยังอาจเป็นการรบกวนเวลาของผู้ป่วยท่านอื่นๆด้วย
- เตรียมกระดาษปากกาให้พร้อมที่จะจดบันทึกข้อมูล หากต้องการบันทึกเสียงหรือภาพ ***ต้องขออนุญาตจากคุณหมอของคุณเสียก่อน***
- บางคำถามอาจจะมีเอกสาร แผ่นพับ เตรียมไว้ให้ในระดับหนึ่งแล้วระหว่างรอตรวจอาจจะลองถามจากคุณพยาบาลเพื่อ ช่วยให้คำถามที่สำคัญและยังไม่มีคำตอบได้มีเวลาอธิบาย
- บางคำถาม พยาบาลหน่วยโรคมะเร็งอาจเป็นผู้ที่ให้คำตอบได้ดีเช่น การดูแล การปฏิบัติตัว การวางแผนที่จะถามทั้งจากสองที่นั้นอาจให้ข้อมูลที่ใช้งานได้จริงกว่าถามจากคุณหมอของคุณเพียงคนเดียว

ตัวอย่าง 8 คำถามที่น่าจะถาม (สำหรับครั้งแรกๆ)
1 มะเร็งที่เป็นนั้นเป็นชนิดไหน (อาจขอให้คุณหมอจดศัพท์ทางการแพทย์ให้ด้วย) เกิดขึ้นที่ตรงไหน มีการลุกลามหรือแพร่กระจายไปที่ใดบ้าง
2 มีการตรวจใดที่จำเป็นต้องทำอีกบ้าง เพื่ออะไร และต้องรีบทำแค่ไหน
3 หากตรวจชิ้นเนื้อมาแล้ว ขอให้คุณหมออธิบายผลการตรวจชิ้นเนื้อให้ฟังว่าตรวจพบอะไรและมีผลอย่างไรต่อตัวโรค หรือ การรักษา (ถ้าข้อมูลพอเพียงแล้ว) คุณหมอแนะนำการรักษาอย่างไร เป้าหมายของการรักษาคืออะไร มีทางเลือกอื่นด้วยหรือไม่
4 ผลข้างเคียงของการรักษานั้นๆเป็นอย่างไร และ ถ้าไม่รับการรักษาจะมีผลเช่นไร
5 ค่าใช้จ่ายครอบคลุมตามสิทธิ์หรือไม่ ถ้ามีการรักษาที่เกินกว่าสิทธิ์จะมีค่าใช้จ่ายประมาณเท่าใด
6 ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเกี่ยวกับโรคมะเร็งหรืออาการที่เป็น
7 ถ้ามีปัญหา หรือ คำถามจะสามารถสอบถามได้จากใคร อย่างไร (เช่นจะติดต่อทีมที่ดูแลได้อย่างไร.....โดยมากจะเป็นเบอร์ของโรงพยาบาลหรือหน่วยมะเร็ง)
8 ถ้าต้องการของความเห็นจากแพทย์ท่านอื่น คุณหมอแนะนำใครให้ได้หรือไม่

ขยายความเสียหน่อยกับคำถามเหล่านี้
       3 คำถามแรกจำเป็นอย่างมากในการที่คุณจะต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมในการดูแลและ รักษาเพื่อช่วยให้คุณหาข้อมูลที่เหมาะกับผู้ป่วยได้มากที่สุด
       คำถามที่ 4 - 6 นั้นจำเป็นสำหรับการตัดสินใจการรักษาและวางแผนการรักษา บ่อยครั้งที่เรามีการรักษาหลายอย่างที่ได้ผลพอๆกัน ดังนั้นการถามถึงทางเลือกอาจช่วยให้คุณเข้าถึงการรักษาที่เหมาะกับคุณมากที่สุด
        คำถามที่ 7 สำคัญมากเพราะเมื่อเกิดปัญหานอกโรงพยาบาลอาจช่วยลดความกังวลหรือลดความจำเป็นที่ต้องมาโรงพยาบาลได้
        ส่วนคำถามสุดท้ายแม้จะดูไม่เหมาะสมในสังคมไทยแต่เป็นเรื่องปกติของต่าง ประเทศและเป็นสิทธิ์ของผู้ป่วยที่ผู้ป่วยสามารถขอความเห็นจากแพทย์ท่านอื่นได้ซึ่งเรียกว่า Second Opinion เพราะแพทย์แต่ละคนก็ไม่ได้มีความชำนาญหรือประสบการณ์ที่เท่ากัน โดยมากแพทย์สาขาอายุรกรรมโรคมะเร็งจะยินดีแนะนำแพทย์ที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุดกับโรคของคุณในการหาความเห็นที่สอง บางครั้งแพทย์ท่านนั้นอาจเป็นธุระถามให้แทนก็ได้

2 หาสถานที่สำหรับการรักษา


        คำถามที่เจอบ่อยมากคำถามหนึ่งนอกห้องตรวจคือ รักษาที่ไหนดี มาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ควรพิจารณาในการเลือกสถานที่รักษา

โรงพยาบาลนั้นควรมีที่พักอยู่ใกล้ๆโรงพยาบาล
        บ่อยครั้งที่การรักษานั้นจะไม่จบด้วยแค่การผ่าตัดเพียงอย่างเดียว ผู้ป่วยอาจจะต้องไปโรงพยาบาลเดือนละหลายครั้ง(โดยไม่ได้นอนค้างในโรงพยาบาล) ไปจนถึงต้องมาโรงพยาบาลทุกวันราชการในกรณีฉายรังสี ดังนั้นระยะทางมีผลอย่างมากต่อการรักษา คิดดูง่ายๆว่าผู้ป่วยซึ่งมักจะแข็งแรงน้อยกว่าปกติ ต้องเดินทางแต่เช้ามืด นั่งรถนานๆ รอการตรวจและรักษาอีกหลายชั่วโมง จนกลับบ้าน ผู้ป่วยจะเพลียจากการเดินทางมากกว่าการรักษาเสียอีก บางครั้งการรักษาต้องนอนโรงพยาบาลญาติอาจจะไม่สะดวกที่จะมาเยี่ยมบ่อยๆผู้ป่วยก็เฉาหรือเหงาได้ไม่น้อย

สิทธิ์การรักษา
        การรักษาโรคมะเร็งอาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักล้าน หากคิดจะไม่ใช้สิทธิ์ควรคิดให้ดีๆ เพราะอีกทางเลือกที่ดีกว่าคือใช้สิทธิ์เท่าที่มีและจ่ายเงินเพื่อการรักษาที่เกินกว่าสิทธิ์ครับ เว้นเสียแต่ว่าคุณมีเงินมากมายเหลือเฟือ การใช้สิทธิ์แม้แต่สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า(สามสิบบาท หรือ บัตรทอง) ประกันสังคม ก็ครอบคลุมในการรักษาส่วนใหญ่แล้ว

คุณควรรู้จักโรงพยาบาลแห่งนั้นดีพอควร
        โรงพยาบาลที่คุณรู้จักดีจะช่วยให้คุณสะดวกในการรักษาภายในโรงพยาบาล ไม่ใช่ว่าคุณควรจะมีเส้นสายอะไรแต่เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็งมักต้องยุ่งเกี่ยวกับแผนกต่างๆของโรงพยาบาลมากมาย อาจต้องมีการติดต่อหลายที่ในวันเดียวกัน นอกจากนี้หากคุณคุ้นเคยกับโรงพยาบาลใดอยู่แล้วก็จะเข้าใจปัญหาหรือข้อจำกัดของโรงพยาบาลนั้นๆและสามารถเตรียมพร้อมแก้ปัญหาได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามคุณสามารถเรียนรู้กับโรงพยาบาลใหม่ได้ดังนั้นอย่ากังวลหากคุณไม่สามารถเลือกโรงพยาบาลที่ต้องการได้

โรงพยาบาลนั้นควรจะสามารถให้บริการฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง
        ปัญหาระหว่างการรักษาอาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากตัวโรคเอง จากการรักษา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมงหากโรงพยาบาลสามารถให้การดูแลรักษาที่พร้อม 24 ชั่วโมงจะช่วยให้คุณอุ่นใจได้มาก อย่างไรก็ดีหากโรงพยาบาลที่คุณมีสิทธิ์อยู่อาจไม่พร้อมด้วยปัจจัยนี้ทางแก้ที่ดีคือ ถามจากโรงพยาบาลของท่านว่าหากเกิดเหตุฉุกเฉินควรไปโรงพยาบาลใด และ ขอข้อมูลสรุปของผู้ป่วยติดตัวไว้กรณีที่จำเป็น

ชื่อเสียงของโรงพยาบาลและแพทย์ที่รักษา
        ปัจจัยข้อนี้คือปัจจัยที่สำคัญน้อยที่สุดแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักสูงที่สุด ที่บอกว่าสำคัญน้อยที่สุดก็เพราะชื่อเสียงของโรงพยาบาลไม่ได้รับประกันว่าคุณจะได้พบสิ่งที่ดีที่สุด ในขณะเดียวกันคุณจะต้องเผชิญกับปัญหาผู้ป่วยล้นมือ (ก็เพราะชื่อเสียงมันดี) ทำให้มีเวลาในการดูแลต่อตัวคนไข้ลดลงอย่างมาก มีโอกาสผิดพลาดมากขึ้น รอนานมากขึ้น เดินทางลำบากขึ้น โปรดอย่ากังวลหมอจะแนะนำให้ท่านไปโรงพยาบาลเหล่านั้นหากโรคของคุณเกินความสามารถ


3 เตรียมพร้อมผู้ป่วยและญาติสำหรับการรักษา

        ผู้ป่วยและญาติจะต้องเผชิญปัญหารอบด้านเมื่อได้ทราบว่าเป็นมะเร็ง ไม่ว่าจะเรื่องจิตใจ เรื่องความเจ็บป่วยทางกาย เรื่องเงิน เรื่องเวลา(ของผู้ป่วยและญาติที่ต้องมาโรงพยาบาล) คำแนะนำกว้างๆเหล่านี้อาจช่วยคุณได้

รู้เท่าทันและจัดการกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
        ความรู้สึกเช่น โกรธ ผิดหวัง รู้สึกผิด เศร้าเสียใจ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นปรกติเมื่อคนเราได้รับทราบข่าวร้าย บ่อยครั้งเราจะไม่รู้ตัวว่าเรากำลังรู้สึกเช่นนั้น สิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นอาจจะเป็นแค่คำถามที่พบบ่อยเหล่านี้ก็ได้เช่น ทำไมเราต้องเป็นมะเร็ง นี่ถ้าเราดูแลรักษาตัวเองดีกว่านี้ก็คงไม่เป็นมะเร็ง เพราะ......เราถึงเป็นมะเร็งใช่มั้ย คำถามเหล่านี้เป็นการสะท้อนอารมณ์ที่รู้สึกขึ้นมาหากเรารู้เท่าทันมันก็จะช่วยให้ผ่านพ้นไปได้ การพูดคุยและระบายออกมาเป็นยาที่ดีอย่างหนึ่ง บ่อยครั้งที่คนในครอบครัวมักจะไม่กล้าพูดคุยในประเด็นเกี่ยวกับโรคมะเร็ง อาจกลัวทำให้เสียใจ อาจกลัวทำให้กังวล แต่ในความเป็นจริงมันยิ่งสร้างบรรยากาศที่แย่ลงไปในครอบครัว อย่างไรก็ดีการพูดคุยนั้นเราอาจเลี่ยงคำบางคำที่ผู้ป่วยไม่ต้องการก็ได้ ในหลายครอบครัวจะใช้คำว่า "มะ" "เนื้องอก" "ก้อน" แทนคำว่ามะเร็งโดยตรง
        การพูดระบายออกมากับแพทย์ที่ดูแลหรือทีมที่ดูแลก็อาจเป็นอีกทางที่ดีใน กรณีที่ในครอบครัวยังไม่พร้อม หากความรู้สึกนั้นมันรบกวนจิตใจมากเกินไป แพทย์อาจช่วยเหลือด้วยยาหรือทีมงานที่ได้รับการอบรมในการจัดการปัญหาเหล่านี้ (ลองอ่านเพิ่มเติมในเรื่องการรับมือกับอารมณ์ต่างๆ)

วางแผนเรื่องการเงิน
        ค่าใช้จ่ายในการรักษาไม่ได้มีเพียงการรักษาตัวโรคมะเร็ง ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นยังอาจรวมไปถึง ค่าเดินทาง ค่าอาหารเสริม ค่ารักษาที่เกินกว่าสิทธิ์ และ ค่าเสียโอกาส เช่น การที่ต้องลางานเพื่อมาดูแลรักษา จึงจำเป็นอย่างมากที่ควรจะคิดวางแผนเรื่องการเงิน

        สำหรับค่ารักษาพยาบาลอาจถามจากแพทย์ที่รักษาได้ว่าประมาณเท่าไร ในช่วงระยะเวลาเท่าไร การรักษานั้นอาจอยู่ในสิทธิ์รักษาของคุณ หรืออาจมีโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยโดยเฉพาะในกลุ่มยาราคาแพง
        หากการเดินทางมีค่าใช้จ่ายสูงควรคำนวณการเดินทางที่สะดวกและประหยัด ในบางกรณีอาจพิจารณาขอย้ายไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่สามารถเดินทางได้ประหยัดกว่า หากเป็นไปได้
        จัดการเรื่องงาน ในบางที่อาจปรึกษานายจ้างว่าสามารถช่วยเหลืออย่างไรได้บ้างเช่น ขอหยุดในวันที่ตรวจ(ซึ่งมักเป็นวันธรรมดา) แล้วทำงานชดเชยในวันหยุด บางที่อาจอนุญาตให้หยุดได้ แต่ระวังบางที่อาจไม่ชอบใจนัก
        หากคุณมีประกันต่างๆควรรีบปรึกษาว่าเข้าหลักเกณฑ์ที่จะคุ้มครองหรือไม่ และหากเป็นไปได้ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนจะเกิดค่าใช้จ่ายจริง บางครั้งจะเห็นปัญหาว่าไปใช้สิทธิที่โรงพยาบาลเอกชนแต่ประกันไม่ครอบคลุมภายหลังทำให้มีหนี้สินปริมาณมากได้
        นอกจากนี้หากผู้ป่วยมีภาระงานหรือการเงินที่ต้องการการดูแลควรรีบจัดหาผู้ดูแลแทนชั่วคราวหรือตลอดไป เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลปัญหาเหล่านี้ระหว่างการรักษา

มีส่วนร่วมในการติดตามการรักษา
        สิ่งหนึ่งที่ยังไม่ค่อยนิยมทำในบ้านเราคือการมีส่วนร่วมในการติดตามการรักษา เริ่มแรกที่ควรทำคือ การมีข้อมูลของผู้ป่วยเป็นของตนเอง มาดูกันว่าทำไมเราจึงควรมีข้อมูลของผู้ป่วยติดตัวไว้
    1 หมอแต่ละแผนกมีการแยกข้อมูลที่เกี่ยวข้องของตนเอง การรวบรวมไว้ด้วยกันจะสะดวกต่อการดูย้อนหลัง หรือ ช่วยให้หมอต่างแผนกดูและเข้าใจง่ายขึ้น
    2 บางครั้งเวชระเบียนอาจหาไม่เจอ หรือ สูญหายได้ การมีข้อมูลประจำตัวไว้จะช่วยคุณได้เป็นอย่างดี
    3 หากจำเป็นต้องไปพบหมอคนใหม่จะช่วยให้หมอคนใหม่เข้าใจประวัติการรักษาและโรคคุณและนำไปสู่การตัดสินใจแนะนำและรักษาที่เหมาะสมที่สุด
    4 ญาติที่ดูแลอาจจะมีการเปลี่ยนตัวในบางขณะ หรือในกรณีผู้ป่วยเด็กอาจจดจำรายละเอียดไม่ได้เมื่อโตขึ้น ข้อมูลตรงนี้อาจมีประโยชน์อย่างมาก
    5 ในบางคนอาจเป็นมะเร็งมากกว่าหนึ่งอย่าง ข้อมูลของการรักษาในอดีตซึ่งอาจยาวนานจนเวชระเบียนถูกทำลายไปแล้ว อาจมีผลอย่างยิ่งต่อการรักษาในครั้งต่อมา

อะไรที่ควรจะมีในแฟ้มประวัติส่วนตัว
1 รายละเอียดการวินิจฉัย (ตามคำถาม 1-3 ข้างต้น)
2 วันที่ของการวินิจฉัยและการรักษาต่างๆ
3 สำเนาของผลการตรวจต่างๆเช่นผล เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผลชิ้นเนื้อ
4 ข้อมูลการรักษาโดยละเอียดรวมไปถึง ชื่อยา ขนาดยา วิธีให้ยาเคมีบำบัด ขนาดของรังสี และตำแหน่งที่ฉาย
5 ผลการรักษาและผลข้างเคียง

        ในเมืองไทยเราอาจจะไม่สะดวกที่ทำเช่นนี้ด้วยตัวคุณเอง ดังนั้นอาจขอให้แพทย์ของคุณสรุปให้เป็นระยะๆเมื่อสิ้นสุดการรักษาหนึ่งๆ ยกเว้นสำเนาของผลการตรวจต่างๆที่ควรขออนุญาตทำสำเนาไว้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น